วันเสาร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

การพยากรณ์ดวงชาตากำเนิด

การพยากรณ์ดวงชาตากำเนิด


การเรียนวิชาโหราศาสตร์ มีวิธีพยากรณ์ดวงชาตาอยู่ ๒ อย่าง คือ ดวงชาตาเดิมกับดวงชาตาจร
               ๑.   ดวงชาตาเดิม คือ ดวงที่ถือกำเนิดมาบอกพื้นเพของคน เป็นเครื่องวัดฐานะให้รู้ถึงความเป็นอยู่ว่าสูงต่ำเพียงใด อนาคตจะรุ่งโรจน์หรือตกต่ำ อยู่ที่ดวงชาตากำเนิดนี้
               ๒.   สำหรับดวงชาตาจร มีไว้เพื่อประกอบการพยากรณ์โชคเคราะห์ทั้งในอดีตและปัจจุบัน อนาคตของดวงชาตาเดิม
               -     โชค  เคราะห์ของคนมีมากน้อยเพียงใด ก็อยู่ที่ดวงชาตาเดิม เมื่องดวงชาตาเดิมดี ดาวจรเข้ามาโชคที่จะได้รับก็มีมาก โดยตรงกันข้ามเมื่อดวงชาตาเดิมไม่ดี ดวงดาวจรเข้ามาแม้จะเป็นดาวดี โชคที่จะได้รับก็มีน้อยกว่าคนที่มีดวงชาตาเดิมดีเป็นทุนอยู่แล้ว
               ดังกล่าวนี้ ถือว่าเป็นหลักสำคัญ ซึ่งท่านผู้สนใจในวิชาโหราศาสตร์ทั้งหลายพึงจะสังวรไว้ให้มาก
               -     ก่อนที่ท่านจะเป็นนักพยากรณ์ จำเป็นต้องอ่านดวงชาตาเดิมให้ออกเสียก่อน เมื่อเราอ่านดวงชาตาเดิมของผู้มาให้พยากรณ์ จนทราบถึงพื้นเพ ฐานะความเป็นอยู่ของเขาดี แล้วเราก็สามารถพยากรณ์เหตุการณ์ได้ถูกต้อง ความพิจารณาละเอียดรอบคอบประกอบกับความชำนาญที่ผ่านดวงชาตามามาก จะเพิ่มความถูกต้อง แม่นยำยิ่งขึ้น

กฎ ลบ-ลบ กลายเป็นบวก

               คำที่นักโหราศาสตร์มักจะกล่าวอยู่เสมอๆ อีกคำหนึ่งก็คือ “ดาวที่เสีย และยังได้ตำแหน่งเสียอีก กลับเป็นดี เพราะกฎทางคณิตศาสตร์ว่า ลบ-ลบ ต้องเป็นบวก”
               อธิบายว่า – ศัตรูของเจ้าชาตาเมื่อไปตายเสียแล้ว จะมาทำอะไรเราได้ เช่น เจ้าเรือนอริศัตรู เจ้าเรือนมรณะตัวสูญหาย เจ้าเรือนวินาศตัวความล้มละลาย และดาวเจ้าเรือนทั้ง ๓ ตัวนี้ยังไปสถิตอยู่ เป็นมรณะวินาศอีก ก็หมายความว่า ตัวยุ่งทั้ง ๓ ตัวนี้หายอุปสรรคทั้งหลายก็จะไม่เกี่ยวข้อง จึงกลายเป็นกฎ ลบ-ลบ ก็คือบวกนั่นเอง หรือเช่นเจ้าเรือนกฎุมพะไปเป็นประมรณะก็เข้าทำนองเสียบวกเสียเป็นดีไป แต่ข้อนี้ต้องพิจารณาให้ดี
               ขอให้เข้าใจว่า นอกจากเรือน อริ มรณะ ไปเป็น มรณะ วินาศ แล้ว อื่นๆ นอกจาก ๓ เรือนนี้ อาจจะเป็น ลบ-ลบ กลายเป็นบวกจริง แต่กว่าจะบอกได้ก็ต้องลบเสียก่อน คือเสียหายเสียก่อน แล้วบางทีอาจจะดีภายหลังก็ได้ เช่นดาวเจ้าเรือนกฎุมพะไปเป็นอริ ก็พยากรณ์ว่ามีสมบัติไม่ได้เป็นแตกทำลายหมด และถ้ายังได้ตำแหน่งประอีกครั้ง ก็พยากรณ์อีกว่า เมื่อแตกทำลายมากๆ เข้า ก็จะรู้จักหาทางป้องกัน หรือวิธีเก็บ เมื่อรู้จักวิธีป้องกันวิธีเก็บแล้ว ต่อไปก็อาจจะเป็นคนมีฐานะได้ หรือไม่มีฐานะก็ได้เท่ากัน
               กฎ ลบ-ลบ เป็นบวกนี้ ห้ามนำดาวทางทักษา คือดาวที่เป็นศรี หรือกาลกิณีมาใช้เป็นอันขาด ซึ่งไม่เป็นการถูกต้อง เพราะอยู่นอกหลักของโหร

อธิบาย การพยากรณ์พื้นดวงชาตากำเนิดขั้นต้น

               ลัคนา  คือ เป็นตัวบ้านที่เกิด
               ราศีหน้าลัคนา  เรือนกฎุมพะเป็นหน้าบ้าน
               ราศีที่ ๗  เรือนปัตนิ เป็นตรงข้ามบ้าน
               ราศีหลังลัคนา  เรือนวินาศ เป็นหลังบ้าน
               เมื่อมีดาวเคราะห์อะไรมาสถิตอยู่ ก็มีความหมายทางนั้นด้วยเช่น
ดาว ๖.๔    อยู่หน้าลัคนา    พยากรณ์ว่า      -  ตอนเกิดหน้าบ้านมีแม่น้ำลำคลอง
ดาว ๕       อยู่หน้าลัคนา    พยากรณ์ว่า      -  ตอนเกิดหน้าบ้านเป็นวัด โรงพยาบาล ศาลยุติธรรม โรงเรียน
ดาว ๕       เล็งลัคนา         พยากรณ์ว่า      -  ตอนเกิดพ่อแม่มักยกให้เป็นลูกพระ หรือผู้ใหญ่
ดาว ๕       อยู่หลังลัคนา    พยากรณ์ว่า      -  ตอนเกิดวัดอยู่หลังบ้าน หรือศาลเจ้าอยู่หลังบ้าน
               ถ้าจะพยากรณ์ทางเชื้อชาติก็ได้ เช่น
ดาว ๘       อยู่หน้าลัคนา    พยากรณ์ว่า      -  หน้าบ้านเป็นบ้านคนจีน
หรือ จะเอาดาวเปรียบกับพืชก็ได้ ดาว ๗ หมายถึง ต้นไม้ใหญ่ เช่น ต้นโพธิ์ ต้นไทร
ดาว ๖  หมายถึง กล้วย อ้อย  ดาว ๙ หมายถึง วัตถุเก่าแก่โบราณ  ถ้า ๙ อยู่เรือนศุภะ หมายถึงความเชื่อถือ พยากรณ์ว่า ในบ้านมีของเก่าแก่ เช่นพระพุทธรูป เครื่องกังไสลายคราม ดาว ๔ เป็นธาตุน้ำ ถ้าอยู่พันธุ หรือเป็นเจ้าเรือนพันธุ ก็พยากรณ์ว่า ที่ดินของเจ้าชาตาที่อาศัยอยู่นั้นติดน้ำ ก็ได้
               ถ้ามีดาวธาตุไฟ          กุมลัคนา             เจ้าชาตามักถูกไฟไหม้ หรือน้ำร้อนลวก
               ถ้ามีดาวธาตุลม          กุมลัคนา             เจ้าชาตามักเป็นโรคลม
               ถ้ามีดาวธาตุดิน          กุมลัคนา             เจ้าชาตามักแข็งแรงหนักแน่นจริงจัง
               ถ้าดาว ๑-๓ เป็น ๗      แก่ลัคนา (ปัตนิ)   จะมีคู่ครองเป็นนักเลง
               ถ้าดาว ๒-๔ เป็น ๗     แก่ลัคนา (ปัตนิ)   จะมีคู่ครองสวยงาม
               ถ้าดาว ๕-๖ เป็น ๗     แก่ลัคนา (ปัตนิ)   จะมีบุญวาสนาเพราะคู่ครอง
               ถ้าดาว ๗-๘ เป็น ๗     แก่ลัคนา (ปัตนิ)   จะมีคู่ครองแก่ หรือเป็นหม้าย
               หรือลัคนาของเจ้าชาตาอยู่ในราศีที่เคลื่อนไหวเร็ว ก็พยากรณ์ว่า เจ้าชาตาเป็นคนว่องไว ทำอะไรก็เร็วทันใจ อยู่ไม่ค่อยติดที่ มักไปโน่นมานี่เสมอ
               ตามที่อธิบายมานี้ เพื่อพอเป็นหลักการพยากรณ์พื้นดวงชาตากำเนิดขั้นต้นเท่านั้น
               หากจะพยากรณ์ให้ละเอียดถี่ถ้วนกว่านี้ ก็ต้องพิจารณาให้ละเอียดกว้างขวางออกไปอีก ต้องดูเรือนของเจ้าชาตา แต่ละเรือนภพนั้นๆ มีดาวอะไรอยู่บ้าง ดาวเหล่านั้นได้ตำแหน่งอะไรบ้าง เป็นโยค, ตรีโกณ, องค์เกณฑ์ ตำแหน่งอุจ-มหาอุจ, อุจจาวิลาศ, ราชาโชค, นิจ, ประ, ฯลฯ เมื่อพิจารณาโดยทั่วถึงดีแล้ว นั่นแหละจึงจะพยากรณ์ละเอียดถี่ถ้วนได้ว่า พื้นดวงชาตากำเนิดนั้นดีหรือไม่ดี ด้วยประการใดบ้าง

หลักการพิจารณาดาวเคราะห์ในพื้นดวงชาตา

               การพิจารณาดาวเคราะห์ในพื้นดวงชาตา หากนำคำพยากรณ์สำหรับดาวเคราะห์ที่เป็นดวงมาตรฐานมาพยากรณ์ตามตำราที่ว่าไว้จริงแล้ว ก็มีหวังผิด แต่ถ้านำคำจำกัดความของดวงมาตรฐานแต่ละดวงมากล่าวไว้แล้ว รับรองว่าใช้ได้ถูกต้องดีมากทีเดียว เช่น
               ดาวที่ว่าดีให้คุณ          หมายถึง ดาวที่ได้ตำแหน่ง เกษตร, อุจ-มหาอุจ, อุจจาวิลาศ, มหาจักร, ราชาโชค, องค์เกณฑ์, อุดมเกณฑ์ ฯลฯ ดาวที่ว่านี้จะส่งผลให้ ๒ อย่าง คือ ดี ตามเรือนชาตาและดีตามความหมายของดวงดาว
               ดาวที่ว่าเสียให้โทษ       หมายถึง ดาวที่ได้ตำแหน่ง ประ, นิจ, พินทุบาทว์ เป็นเจ้าเรือนอยู่ใน เรือนภพ, อริ, มรณะ, วินาศ เป็นต้น ดาวที่ว่าเสียนี้ก็จะส่งผลเสียให้ ๒ อย่างเหมือนกัน คือ เสียตามเรือนชาตาและเสียตามดวงดาว

ข้อยกเว้นจากดาวเคราะห์ต่างๆ

               ข้อยกเว้นจากดาวเคราะห์ต่างๆ มีอยู่มากมายนัก ตามที่ข้าพเจ้าได้ค้นคว้าเหมือนดังหนึ่งพระอาจารย์ท่านมีกลเม็ดในเรื่องนี้ แต่ข้าพเจ้าจะนำข้อยกเว้นเรื่องดาวเคราะห์มากล่าวไว้เพื่อเป็นหลักการพิจารณาในพื้นดวงชาตาเพียงเป็นตัวอย่างให้นักศึกษาได้เข้าใจ ดังต่อไปนี้
               ๑.   ดาวที่ได้ตำแหน่ง ประ หรือนิจ แล้วเล็งกัน  หมายถึง ประ กับ ประเล็งกัน กลับเป็นเกษตร, นิจ กับ นิจเล็งกัน กลับเป็นอุจทั้งคู่ เช่น ดาว ๗ อยู่ราศีกรกฎ ดาว ๒ อยู่ราศีมังกร ท่านว่า ๒ และ ๗ กลับเป็นเกษตร ไม่ใช่ประ หรือดาว ๗ อยู่ราศีเมษ ดาว ๑ อยู่ราศีตุลย์ ท่านว่า ดาว ๗ และ ๑ กลับเป็นอุจ ไม่ใช่เป็นนิจ
               ๒.   ดาวที่สลับเรือนเกษตรกัน  ท่านก็ว่าได้เกษตรเหมือนกัน เช่นดาว ๒ อยู่ราศีเมษ ดาว ๓ อยู่ราศีกรกฎ ท่านว่า ๒ และ ๓ ได้ตำแหน่งเกษตรให้คุณเหมือนกัน
               ๓.   ดาวที่ได้ตำแหน่ง ประ หรือ นิจ  หากไปสถิตอยู่ในเรือนอริ มรณะ วินาศกับลัคนา ท่านว่ากลับให้คุณแก่เจ้าชาตา เพราะเข้ากฎที่ว่า ลบ ลบ กลายเป็นบวกไป
               ๔.   ดาวที่ได้ตำแหน่งดวงมาตรฐานทั้ง ๑๐ ดวง  ถ้าต่างดวงต่างได้ตำแหน่งแล้วสถิตเป็นตรีโกณกัน หรือเล็งกัน จะให้คุณอย่างที่สุด ตัวอย่างเช่น ดาว ๒ อยู่ราศีเมษ ดาว ๔ อยู่ราศีสิงห์ ได้ตำแหน่งมหาจักรทั้งคู่ ตามอำนาจของดวงดาวนั้น ทำให้เจ้าของชาตามีเสน่ห์สมกับเป็นดาวคู่มิตรจริงๆ หรือดาว ๔ กับดาว ๕ เป็นเกษตรทั้งคู่เล็งยันกันนั้นดีมาก ให้คุณแรง ตัวหนึ่งตัวใดเป็นเจ้าเรือนกฎุมพะ หรือพันธุด้วยจะทำให้มีสมบัติมาก บางคนมีที่ดินเป็นพันๆ ไร่ เรียกว่าราชาที่ดินได้ทีเดียว
               ๕.   ดาวที่ได้ตำแหน่งเกษตรนั้น  ท่านว่าถึงอย่างไรก็ไม่เสีย แม้จะไปสถิตอยู่ในเรือนอริ มรณะ วินาศ หรือได้ตำแหน่งพินทุบาทว์ ก็ไม่เสียทั้งนั้น ทรงไว้ซึ่งมีอำนาจแห่งความเป็นเกษตรอยู่วันยังค่ำ ถ้าดาวเกษตรเป็นเจ้าเรือนอริ มักจะมีร่างกายแข็งแรงปราศจากศัตรูรบกวน ถ้าอยู่มรณะก็มีความสุขความสงบ ไม่ค่อยสร้อยเศร้า ถ้าอยู่วินาศก็ปราศจากความคับแค้นใจเว้นจากความพินาศฉิบหายเท่านั้น
               ๖.   มีดาวพิเศษอยู่ ๒ ดวง คือ ดวงจุลจักร กับ ดวงเทวีโชค  ถ้ากุมลัคนาจึงจะให้คุณเต็มที่ คล้ายกับมหาจักร และราชาโชค ผิดกันบ้างเล็กน้อย เนื่องจากของใหญ่กับของเล็ก

หลักพยากรณ์ดาวเคราะห์กับเรือนชาตา

               ก่อนที่เราจะลงมือพยากรณ์ เราต้องรู้ว่าผู้ที่มาให้เราพยากรณ์นั้น ต้องการให้เราพยากรณ์เรื่องอะไร เมื่อเราทราบแล้วก็จับเอาดาวเจ้าเรือนนั้นๆ ขึ้นมาพิจารณาดู ถ้าจะดูเรื่องตัวเองก็จับเอาดาวเจ้าเรือน ตนุ ถ้าจะดูเรื่องการเงินสมบัติ ก็จับเอาดาวเจ้าเรือนกฎุมพะ เอาดาวนั้นๆ มาสัมพันธ์กับเรือนชาตาขึ้นตาชั่งดู แล้วคลอดคำทำนายออกมา คือดาวเจ้าเรือนนั้นๆ ไปสถิตอยู่ในเรือนชาตาอันใดของเจ้าชาตา ก็จะแสดงผลออกมาตามความหมายของเรือนชาตานั้นๆ
               ตัวอย่าง เช่น จะดูเรื่อง คู่ครอง เราก็จับเอาดาวเจ้าเรือนปัตนิขึ้นมาพิจารณาดู
               สมมุติ ลัคนา อยู่ราศีตุลย์ ดาวเจ้าเรือนปัตนิ ก็เช่น อังคาร ที่อยู่ในราศีเมษ ตรงข้ามกันนั่นเอง แล้วดูต่อไปว่า ดาวตัวนั้นไปอยู่ตามเรือนชาตาในราศีต่างๆ ทั้ง ๑๒ เรือนหรือเปล่า หรืออยู่ประจำที่ในเรือนปัตนิหรือกุมลัคนา หรือไปอยู่เป็น โยค หรือไปอยู่เรือนภพสหัชชะ ฯลฯ เราก็จะให้คำพยากรณ์ออกมาได้ ดังจะได้ยกตัวอย่างให้ดูพอเป็นสังเขปดังนี้


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น